วิธีเลือก Hexagon CMM ให้เหมาะกับสายการผลิตของคุณ

วิธีเลือก Hexagon CMM ให้เหมาะกับสายการผลิตของคุณ

5 เทคนิคในการเลือกใช้งาน Hexagon CMM ให้เหมาะกับสายการผลิต

วิธีเลือก Hexagon CMM ให้เหมาะกับสายการผลิตของคุณ

ในยุคที่ความแม่นยำเป็นหัวใจของการผลิต การตรวจวัดชิ้นงานด้วยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการมาตรฐานสูง เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และ การบิน เครื่องวัดพิกัดสามมิติ (Coordinate Measuring Machine: CMM) จากแบรนด์ Hexagon ถือเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่การจะเลือก Hexagon CMM ให้เหมาะสมกับสายการผลิตของคุณนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นบทความนี้เราจะพาคุณมาดูวิธีเลือกให้ตรงความต้องการทั้งในด้านเทคนิค งบประมาณ และ การใช้งานจริง

ประเภทของ Hexagon CMM ที่ควรรู้ก่อนเลือกซื้อ

  1. Bridge Type CMM 
    Hexagon CMM ประเภทนี้นั้นจะเหมาะกับงานตรวจวัดทั่วไป เช่น อะไหล่เครื่องจักร ชิ้นส่วนโลหะ มีโครงสร้างแข็งแรง ความแม่นยำสูง จึงเหมาะสำหรับโรงงานที่ต้องการตรวจสอบคุณภาพในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง

  2.  Gantry Type CMM 
    Gantry Type CMM นั้นเหมาะกับชิ้นงานขนาดใหญ่ เช่น โครงรถยนต์ หรือ แม่พิมพ์พลาสติก มีโครงสร้างแบบกรอบขนาดใหญ่ รองรับน้ำหนักได้มาก แต่ต้องใช้พื้นที่ติดตั้งมากกว่าประเภทอื่น

  3. Horizontal Arm CMM 
    Horizontal Arm CMM นั้นจะใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องตรวจสอบชิ้นงานทรงยาว เช่น ตัวถังรถยนต์ เครื่องจักรขนาดใหญ่ ที่มีความยืดหยุ่นสูงในการวัดหลายตำแหน่งพร้อมๆกัน

  4. Portable CMM (Arm CMM / Laser Tracker)
    Portable CMM นั้นจะเหมาะกับงานที่ต้องตรวจวัดนอกสถานที่ หรือ ชิ้นงานที่เคลื่อนย้ายลำบาก เช่น การตรวจสอบระหว่างการประกอบ ซึ่งสามารถใช้งานได้ง่าย และ รวดเร็ว

  5. Shop - Floor รุ่น TIGO 
    Shop - Floor รุ่น TIGO ออกแบบมาเพื่อติดตั้งและใช้งานได้โดยตรงในพื้นที่การผลิต (Shop Floor) โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องควบคุมอุณหภูมิหรือห้องมาตรวิทยา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานตรวจสอบคุณภาพที่ต้องการความแม่นยำสูงในสภาพแวดล้อมของโรงงานจริง ด้วยโครงสร้างที่ทนทานต่อฝุ่น สิ่งเจือปน และแรงสั่นสะเทือน รวมถึงระบบชดเชยอุณหภูมิที่ช่วยรักษาค่าความแม่นยำได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คงที่

แนะนำเทคนิคในการเลือกใช้งาน Hexagon CMM ให้มีประสิทธิภาพ

  1. ความแม่นยำ และ ความละเอียด (Accuracy and Resolution) – พื้นฐานของการวัดที่เชื่อถือได้
    ความแม่นยำ และ ความละเอียดเป็นปัจจัยแรก และ สำคัญที่สุดในการเลือก Hexagon CMM เพราะเป็นตัวกำหนดว่าชิ้นงานของคุณจะถูกวัดได้แม่นยำแค่ไหนในสายการผลิต CMM ของ Hexagon มีความแม่นยำตั้งแต่ 1.5 + L/350 µm (L คือความยาววัด) สำหรับรุ่นพื้นฐาน ไปจนถึง sub-micron (ต่ำกว่า 1 ไมครอน) สำหรับรุ่นสูงสุด 

    โดยเหตุผลที่สำคัญ คือ ในสายการผลิต ความคลาดเคลื่อนแม้เพียง 0.01 มม. อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ เช่น ชิ้นส่วนไม่พอดี หรือ อาจทำให้เครื่องจักรเสียหาย ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการผลิตซ้ำ หรือ รีคอลล์สินค้า Hexagon CMM ใช้เทคโนโลยี PULSE หรือ SHAPE ที่วัดจุดข้อมูลได้นับล้านจุดต่อวินาที ทำให้มีความละเอียดสูง และ ตรวจจับข้อบกพร่องได้ละเอียดยิบ อีกเคล็ดลับในการเลือก คือ ควรทดสอบ CMM กับชิ้นงานจริง (Demo) เพื่อวัดความแม่นยำในสภาพการผลิตของคุณ และ พิจารณา volumetric accuracy ที่วัดทั้งเครื่องไม่ใช่แค่จุดเดียวนั้นเอง

  2. ขนาด และ ขอบเขตวัด (Size and Measuring Volume) – รองรับชิ้นงานหลากหลายในสายการผลิต 
    ขนาด และ ขอบเขตวัดเป็นปัจจัยที่สองที่ต้องพิจารณา เพราะ Hexagon CMM ต้องรองรับชิ้นงานในสายการผลิตของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นเล็กอย่างชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ชิ้นใหญ่เช่นตัวถังรถยนต์ Hexagon CMM มีหลากหลายขนาด ให้เลือกใช้งาน

    โดยเหตุผลที่สำคัญ คือ หาก CMM เล็กเกินไป สำหรับชิ้นงานใหญ่จะวัดไม่ครบ ทำให้ต้องใช้หลายๆเครื่อง และ ต้องเพิ่มต้นทุน ในทางตรงกันข้าม CMM ใหญ่เกินจำเป็นจะสิ้นเปลืองพื้นที่ และ พลังงาน Hexagon CMM จะใช้โครงสร้าง bridge หรือ gantry ที่ปรับขนาดได้ ทำให้ยืดหยุ่นสำหรับสายการผลิตที่เปลี่ยนชิ้นงานบ่อยๆ ซึ่งเคล็ดลับ คือ ควรวัดชิ้นงานใหญ่สุด และ เล็กสุดในสายการผลิตของคุณ แล้วเลือก CMM ที่ครอบคลุมนั้นเอง

  3. ซอฟต์แวร์ และ การรวมระบบ (Software and Integration) – ปัญญาที่ทำให้ CMM ฉลาดขึ้น 
    ซอฟต์แวร์เป็นปัจจัยที่สามที่ทำให้ Hexagon CMM แตกต่างจากคู่แข่ง โดย Hexagon จะใช้ PC-DMIS ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ทรงพลัง รองรับการวัดอัตโนมัติ การวิเคราะห์ GD&T และ การรวมกับระบบ ERP หรือ MES (Manufacturing Execution System) เพื่อเชื่อมต่อกับสายการผลิต สำหรับสายการผลิตอัจฉริยะ ซอฟต์แวร์ที่รองรับ AI สำหรับ predictive maintenance จะยิ่งช่วยตรวจจับปัญหาก่อนเกิด downtime ได้ถึง 20-30%

    อีกเหตุผลที่สำคัญ คือ ซอฟต์แวร์ที่ไม่ดีอาจทำให้ข้อมูลวัดผิดพลาด หรือ ไม่สามารถรวมกับระบบอื่นได้ ทำให้เสียเวลาในการนำเข้าข้อมูล โดยเคล็ดลับ คือ ควรทดลองซอฟต์แวร์เดโมเพื่อดูการใช้งานจริง และพิจารณาความเข้ากันได้กับซอฟต์แวร์ CAD/CAM ที่คุณใช้ก่อนตัดสินใจก่อนเสมอ

  4. ความเร็ว และ ประสิทธิภาพ (Speed and Throughput) – ลด downtime ในสายการผลิต 
    ความเร็วในการวัด และ ประสิทธิภาพเป็นปัจจัยที่สี่ที่ต้องคำนึงถึง โดย Hexagon CMM นั้นมีความเร็วสแกนสูงถึง 500 มม./วินาทีสำหรับรุ่นพรีเมียม ทำให้สามารถวัดชิ้นงานได้เร็วขึ้น 2-3 เท่า สำหรับสายการผลิตที่ต้องการตรวจชิ้นงานจำนวนมากจะยิ่งช่วยวัดจุดข้อมูลนับล้านจุดต่อนาทีได้ จึงช่วยลดเวลาวัดจากชั่วโมงเหลือไม่กี่นาที อีกเหตุผลที่สำคัญ คือ ในสายการผลิต ความเร็วต่ำอาจทำให้ bottleneck และ เพิ่ม downtime ได้ ซึ่ง Hexagon CMM จะใช้เทคโนโลยี air bearing ที่ลดแรงเสียดทาน ทำให้เคลื่อนไหวลื่นไหล และ วัดได้เร็ว โดยเคล็ดลับ คือ ควรเลือก CMM ที่มี throughput สูงสำหรับสายการผลิตปริมาณมากๆ และ พิจารณา multi-axis scanning เพื่อวัดชิ้นงานที่ซับซ้อนได้

  5. งบประมาณและ ROI – การลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว
    งบประมาณ และ ROI เป็นปัจจัยสุดท้ายที่ต้องพิจารณา โดย Hexagon CMM มีราคาเริ่มต้น ที่ 500,000-2 ล้านบาทสำหรับรุ่น entry-level ไปจนถึง 10 ล้านบาทสำหรับรุ่นอุตสาหกรรม โดยเหตุผลที่สำคัญ คือ CMM ที่ถูกแต่ไม่มีประสิทธิภาพอาจเพิ่มต้นทุนบำรุง และ เพิ่ม downtime หากเราเลือก Hexagon CMM ที่มี warranty 1-2 ปี และ บริการหลังการขายที่ดี จะทำให้ ROI สูง ซึ่งเคล็ดลับ คือ ควรขอ demo และ คำนวณ ROI ด้วยเครื่องมือ Hexagon เพื่อให้เห็นตัวเลขจริง งบประมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้การลงทุนคุ้มค่า และ เพิ่มประสิทธิภาพสายการผลิตอีกด้วย

จากที่กล่าวมาจะพบว่าการเลือก Hexagon CMM ไม่ใช่แค่ดูที่ราคา แต่ควรมองถึงความเหมาะสมกับสายการผลิต ความแม่นยำที่ต้องการ และ บริการหลังการขาย การลงทุนในเครื่องวัดคุณภาพสูงเช่นนี้จะช่วยให้โรงงานของคุณสามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างแม่นยำ ลดของเสีย เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าในระยะยาวได้อีกด้วยดังนั้นหากสนใจ Hexagon CMM ที่มีประสิทธิภาพนั้นเราขอแนะนำ J Tech Machinery คือ ผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรกลที่ครบครัน และ ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย เราเชี่ยวชาญในเครื่องจักรกลหลากหลายประเภท เช่น เครื่องกัด CNC (CNC Machine), เครื่อง 5 Axis Machiningเ, เครื่อง 3D Scanner, เครื่องไวร์คัท, เครื่องฉีดพลาสติก และ Hexagon CMM ที่ตอบโจทย์สำหรับหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์, อากาศยาน, อุปกรณ์การแพทย์, จักรกลการเกษตร, การก่อสร้าง, พลังงาน, เครื่องใช้ไฟฟ้า, บรรจุภัณฑ์ และ แม่พิมพ์ชนิดต่างๆ นั้นเอง


ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่

บริษัท เจ เทค แมชชีนเนอรี่ จำกัด
22/86 ซอยกรุงเทพกรีฑา 7 แยก 4 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240

Website : https://www.jtechmachinery.com
Line: @j-tech
E-mail : Info@jtechmachinery.com
 

เบอร์โทรศัพท์
สำนักงาน : 02-187-0963
คุณอาร์ต : 090-016-1955
คุณเอ๋ : 099-178-5500

 

Visitors: 246,129