เครื่องฉีดพลาสติก vs เครื่องขึ้นรูปพลาสติกแบบอื่น: เลือกวิธีไหนดีกว่ากัน?

เครื่องฉีดพลาสติก vs เครื่องขึ้นรูปพลาสติกแบบอื่น: เลือกวิธีไหนดีกว่ากัน?

เลือกใช้งานเครื่องฉีดพลาสติก อย่างไรให้เหมาะกับประเภทชิ้นงาน และ ปริมาณงาน

เครื่องฉีดพลาสติก vs เครื่องขึ้นรูปพลาสติกแบบอื่น: เลือกวิธีไหนดีกว่ากัน?

อุตสาหกรรมพลาสติกถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก และ ชีวิตประจำวันของผู้คน เนื่องจากผลิตภัณฑ์พลาสติกถูกนำไปใช้ในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ไปจนถึงชิ้นส่วนอุตสาหกรรม โดยเบื้องหลังการผลิตเหล่านี้คือ เทคโนโลยีเครื่องจักรขึ้นรูปพลาสติก ที่ทำให้ได้ชิ้นงานตามต้องการ โดยในบรรดากระบวนการขึ้นรูปพลาสติกทั้งหมด เครื่องฉีดพลาสติก (Injection Molding Machine) มักถูกพูดถึงบ่อยที่สุดเพราะให้ความแม่นยำสูง ผลิตได้รวดเร็ว และ สามารถทำชิ้นงานที่มีรายละเอียดซับซ้อนได้ แต่ในความเป็นจริงยังมีเครื่องจักร หรือ กระบวนการขึ้นรูปพลาสติกอีกหลายแบบ เช่น Extrusion, Blow Molding, Thermoforming, Compression Molding เป็นต้น ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดี ข้อจำกัด และการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนั้นบทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง เครื่องฉีดพลาสติกกับเครื่องขึ้นรูปพลาสติกแบบอื่นๆ โดยเปรียบเทียบทั้งในมุมด้านเทคนิค คุณภาพงาน ผลผลิต ต้นทุน และ การใช้งาน เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ว่าแบบไหนดีกว่า และ เหมาะกับธุรกิจ หรือ โปรเจกต์ของคุณมากที่สุด

 

ภาพรวมของกระบวนการเครื่องฉีดพลาสติก และ ขึ้นรูปพลาสติกต่างๆ

ก่อนจะเจาะลึก เครื่องฉีดพลาสติก และ เครื่องแบบอื่นๆนั้น เรามาดูภาพรวมกันก่อนว่า “กระบวนการขึ้นรูปพลาสติก” มีอะไรบ้าง

  1. Injection Molding (การฉีดพลาสติก) – เป็นกระบวนการหลอมพลาสติกให้เป็นของเหลวแล้วฉีดเข้าแม่พิมพ์ จากนั้นปล่อยให้เย็นแข็งตัวเป็นชิ้นงาน
  2. Extrusion (การอัดรีดพลาสติก) – จะหลอมพลาสติกแล้วอัดผ่านหัวดายเพื่อให้ได้ชิ้นงานเป็นเส้นยาว เช่น ท่อ สายไฟ ฟิล์ม
  3. Blow Molding (การเป่าพลาสติก) – เป็นขั้นตอนการใช้ลมเป่าพลาสติกที่ร้อนให้ออกมาเป็นรูปทรงกลวง เช่น ขวดน้ำ ขวดแชมพู
  4. Thermoforming (การขึ้นรูปด้วยความร้อน) – เป็นกระบวนการอุ่นแผ่นพลาสติกให้ร้อนแล้วขึ้นรูปด้วยแม่พิมพ์ เช่น กล่องอาหาร หรือ บรรจุภัณฑ์
  5. Compression Molding (การอัดขึ้นรูป) – จะใช้การวางเม็ด หรือ ผงพลาสติกในแม่พิมพ์แล้วใช้แรงอัด และ ความร้อนจนขึ้นรูป นิยมกับพลาสติกเทอร์โมเซต

 

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องฉีดพลาสติกแบบอื่นๆ

  1. เครื่องฉีดพลาสติก (Injection Molding): ราชาแห่งความซับซ้อน
    เครื่องฉีดพลาสติกนั้นจะทำงานโดยการหลอมละลายเม็ดพลาสติกในกระบอกฉีด แล้วฉีดเข้าไปในแม่พิมพ์โลหะภายใต้ความดันสูง (1,000-2,000 bar) จากนั้นเย็นตัวลงเพื่อให้ได้ชิ้นส่วนที่แข็งแรง และ มีขนาดแม่นยำ กระบวนการนี้ใช้เวลาไม่กี่วินาทีต่อชิ้น ทำให้เหมาะสำหรับการผลิตจำนวนมาก (เช่น ชิ้นส่วนสมาร์ทโฟน หรือ ของเล่น) ในปี 2025 ได้มีเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI-Controlled Injection Systems จึงช่วยลดของเสียได้ถึง 20% โดยปรับความดัน และ อุณหภูมิแบบเรียลไทม์

    ข้อดีของเครื่องฉีดพลาสติก

    • ความแม่นยำสูง: สามารถผลิตชิ้นส่วนที่มีรายละเอียดซับซ้อนได้ เช่น ร่องลึก หรือ รูเล็กๆ ได้อย่างแม่นยำ ±0.01 มม. เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ และ อิเล็กทรอนิกส์
    • ผลิตปริมาณมากได้เร็ว: Cycle time สั้น (10-60 วินาที) ทำให้ผลิตชิ้นงานได้หลักล้านชิ้นต่อเดือน ลดต้นทุนต่อหน่วยลงเหลือ 0.01-0.10 ดอลลาร์ต่อชิ้น
    • วัสดุหลากหลาย: รองรับ thermoplastics และ thermosets เช่น Nylon หรือ Polycarbonate ที่ทนความร้อนสูง
    • พื้นผิวเรียบ: ไม่ต้องตกแต่งเพิ่มมากนัก ช่วยลดขั้นตอนหลังการผลิตลง

    ข้อเสียของเครื่องฉีดพลาสติก

    • ต้นทุนเริ่มต้นสูง: ต้องใช้แม่พิมพ์เหล็ก หรือ อะลูมิเนียมที่มีราคาแพง ทำให้ไม่เหมาะสำหรับปริมาณน้อย (ต่ำกว่า 10,000 ชิ้น)
    • สิ้นเปลืองพลังงาน: ใช้ไฟฟ้ามาก (50-500 kW) และ ผลิตของเสียจาก flash (ส่วนเกิน) ราว 5-10%
    • ไม่เหมาะกับชิ้นส่วนกลวง: ต้องใช้ core inserts เพิ่มความซับซ้อน ทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น

  2. เครื่องเป่าพลาสติก (Blow Molding): ตัวเลือกสำหรับผลิตภัณฑ์กลวง
    เครื่องเป่า พลาสติกนั้นจะทำงานโดยการหลอมพลาสติกแล้วเป่าลมเข้าไปในแม่พิมพ์เพื่อสร้างรูปร่างกลวง เช่น ขวดน้ำหรือถังน้ำมัน โดยมี 3 ประเภทหลักได้แก่ Extrusio n Blow Molding (EBM), Injection Blow Molding (IBM) และ Stretch Blow Molding (SBM) ในปี 2025 EBM ได้รับการพัฒนาให้ใช้พลังงานน้อยลงถึง 15% ด้วยระบบรีไซเคิล parison (ท่อพลาสติกดิบ)

    ข้อดีของเครื่องเป่าพลาสติก

    • เหมาะกับชิ้นส่วนกลวง: ผลิตขวดหรือภาชนะได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้แกนกลาง ลดวัสดุลง 20-30%
    • ต้นทุนต่ำ: แม่พิมพ์มีราคาถูก และ cycle time สั้น (10-30 วินาที) เหมาะสำหรับปริมาณกลาง-มาก
    • ผลิตได้หลากหลายขนาด: จากขวดเล็ก 10 มล. ถึงถัง 200 ลิตร รองรับ HDPE และ PET ที่รีไซเคิลง่าย
    • เร็วกว่า injection สำหรับ hollow parts: EBM ผลิตได้ 70 ชิ้น/ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ injection ที่ช้ากว่า

    ข้อเสียของเครื่องเป่าพลาสติก

    • ความแม่นยำต่ำ: ขอบไม่เรียบ ต้องตัดแต่งเพิ่ม ทำให้เพิ่มต้นทุน 10-20%
    • จำกัดรูปทรง: เหมาะกับรูปร่างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนเท่า injection
    • ของเสียจาก trimming: สร้างขยะพลาสติก 5-15% ที่ต้องจัดการ

  3. เครื่องรีดพลาสติก (Extrusion): สำหรับผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง เครื่องรีดพลาสติกจะหลอมพลาสติกแล้วรีดออกผ่านหัวฉีด (die) เพื่อสร้างรูปทรงต่อเนื่อง เช่น ท่อ หรือแผ่นพลาสติก กระบวนการนี้ไม่ใช้แม่พิมพ์ปิด แต่ใช้ die ที่ปรับได้ ในปี 2025 Twin-Screw Extruders จะช่วยเพิ่มความเร็วถึง 20% และ ช่วยลดการใช้พลังงานได้อย่างมาก

    ข้อดีของเครื่องรีดพลาสติก

    • ผลิตได้ต่อเนื่อง: สามารถรีดพลาสติกได้ไม่จำกัดความยาว เช่น ท่อ PVC ยาวหลายกิโลเมตร จึงช่วยลดต้นทุนสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นท่อยาว
    • ต้นทุนต่ำสำหรับปริมาณมาก: Die มีราคาถูก และ ใช้พลังงานน้อยกว่า (20-100 kW)
    • วัสดุหลากหลาย: รองรับวัสดุ composites เช่น Wood-Plastic Composites สำหรับพื้นไม้เทียม
    • ปรับแต่งง่าย: เปลี่ยน die เพื่อผลิตแผ่น หรือ โปรไฟล์ได้รวดเร็ว

    ข้อเสียของเครื่องรีดพลาสติก

    • จำกัดรูปทรง: ได้รูปทรง 2D หรือ โปรไฟล์เรียบๆ ไม่เหมาะกับ 3D ที่ซับซ้อน
    • ความแม่นยำต่ำ: Variation ในความหนาเพียง ±0.1 มม. จึงต้องควบคุมอุณหภูมิที่เข้มงวด
    • ไม่เหมาะปริมาณน้อย: Setup time ใช้เวลานาน (1-2 ชั่วโมง) ทำให้ไม่คุ้มสำหรับสินค้าล็อตเล็กๆ

  4. เครื่องขึ้นรูปแบบความร้อน (Thermoforming): ทางเลือกประหยัดสำหรับแผ่นบาง
    เครื่องขึ้นรูปแบบความร้อน คือ การอุ่นแผ่นพลาสติกให้อ่อนตัว แล้วดูด หรือ กดลงแม่พิมพ์ มี Vacuum Forming และ Pressure Forming ในปี 2025 Plug-Assisted Thermoforming จะช่วยเพิ่มความลึกของชิ้นส่วนได้ถึง 30%

    ข้อดีของเครื่องขึ้นรูปแบบความร้อน

    • ต้นทุนต่ำมาก: แม่พิมพ์อะลูมิเนียมมีราคาไม่แพงนัก จึงเหมาะสำหรับ prototype หรือ ชิ้นงานปริมาณน้อยๆ (100-10,000 ชิ้น)
    • เร็ว และ ยืดหยุ่น: Cycle time เพียง 10-20 วินาที รองรับแผ่น PETG หรือ PS สำหรับบรรจุภัณฑ์
    • วัสดุ malleable: มักใช้แผ่นสำเร็จรูป ลดขั้นตอนหลอมละลายไปได้มาก
    • ประหยัดวัสดุ: สามารถใช้กับสำหรับชิ้นส่วนบางๆ 0.5-5 มม.

    ข้อเสียของเครื่องขึ้นรูปแบบความร้อน

    • จำกัดความหนา และ ความซับซ้อน: ไม่เหมาะกับชิ้นหนา หรือ undercut (ร่องลึก)
    • พื้นผิวไม่เรียบ: ต้องตกแต่งเพิ่มเติม เช่น ตัดขอบต่างๆ
    • คุณภาพต่ำกว่า: มีค่า Tolerance ถึง ±0.5 มม. ไม่แม่นยำเท่า เครื่องฉีดพลาสติก

  5. เครื่องอัดขึ้นรูป (Compression Molding): สำหรับชิ้นส่วนแข็งแรง
    เครื่องอัดขึ้นรูป คือ การใส่เม็ดพลาสติก หรือ ยางลงแม่พิมพ์ แล้วอัดร้อน-กดเพื่อหล่อรูปชิ้นงาน เหมาะกับกระบวนการ thermosets ในปี 2025 Hydraulic Compression Presses จะช่วยลด cycle time ลงได้ถึง 25%

    ข้อดีของเครื่องอัดขึ้นรูป

    • ชิ้นส่วนแข็งแรง: เครื่องอัดขึ้นรูปทนแรงอัดสูง เหมาะสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ หรือ ไฟฟ้า
    • ต้นทุนต่ำสำหรับชิ้นงานปริมาณกลาง: แม่พิมพ์มีมูลค่ากลาง อีกทั้งยังใช้ได้นาน
    • ลดของเสีย: ไม่มี flash มาก ถ้าหากแม่พิมพ์ปิดสนิท
    • วัสดุทนทาน: รองรับ SMC (Sheet Molding Compound) สำหรับชิ้นงานขนาดใหญ่

    ข้อเสียของเครื่องอัดขึ้นรูป

    • cycle time ยาว: จะต้องใช้เวลาถึง 1-5 นาที ช้ากว่า เครื่องฉีดพลาสติก ถึง 10 เท่า
    • จำกัดรูปทรง: เหมาะกับชิ้นเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน
    • แรงงานมาก: ต้องโหลดวัสดุด้วยมือจึงจำเป็นต้องมีแรงงานประจำ

จากที่กล่าวมาจะพบคำตอบของคำถามว่า “เครื่องฉีดพลาสติก หรือ เครื่องขึ้นรูปแบบอื่น แบบไหนดีกว่า ?” ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของการผลิต หากต้องการผลิตจำนวนมาก ชิ้นงานซับซ้อน และ ต้องการคุณภาพสูง เครื่องฉีดพลาสติก Injection Molding คือ คำตอบที่ดีที่สุด แต่หากเป็นบรรจุภัณฑ์ ขวดพลาสติก หรือ ท่อ การเลือก Blow Molding หรือ Extrusion จะคุ้มค่ากว่า ดังนั้นไม่มี “คำตอบที่ตายตัว” แต่สิ่งสำคัญ คือ การทำความเข้าใจลักษณะของผลิตภัณฑ์ งบประมาณ และ ปริมาณการผลิต แล้วเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ

ดังนั้นหากกำลังมองหาเครื่องฉีดพลาสติกที่มีคุณภาพเหมาะกับชิ้นงานประเภทต่างๆนั้นเราขอแนะนำ J Tech Machinery คือ ผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรกลที่ครบครัน และ ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย เราเชี่ยวชาญในเครื่องจักรกลหลากหลายประเภท เช่น เครื่องกัด CNC (CNC Machine), เครื่อง 5 Axis Machiningเ, เครื่อง 3D Scanner, เครื่องไวร์คัท, เครื่องฉีดพลาสติก และ เครื่องมือวัด 3 มิติ CMM (3D Measuring Tools) ที่ตอบโจทย์สำหรับหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์, อากาศยาน, อุปกรณ์การแพทย์, จักรกลการเกษตร, การก่อสร้าง, พลังงาน, เครื่องใช้ไฟฟ้า, บรรจุภัณฑ์ และ แม่พิมพ์ชนิดต่างๆ นั้นเอง


ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่

บริษัท เจ เทค แมชชีนเนอรี่ จำกัด
22/86 ซอยกรุงเทพกรีฑา 7 แยก 4 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240

Website : https://www.jtechmachinery.com
Line: @j-tech
E-mail : Info@jtechmachinery.com
 

เบอร์โทรศัพท์
สำนักงาน : 02-187-0963
คุณอาร์ต : 090-016-1955
คุณเอ๋ : 099-178-5500

 

Visitors: 246,215